เด็กเขียนภาพบนเซรามิกผู้มีพรสวรรค์
เรอนัวร์ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมือง Limoges ในปี 1841 เป็นลูกของช่างตัดเสื้อที่มีลูก 7 คน ปี 1844 ครอบครัวที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า เรอนัวร์เติบโตในใจกลางเมืองหลวง แต่พออายุ 13 ปีก็ต้องออกจากโรงเรียน เขามีพรสวรรค์ด้านศิลปะครอบครัวจึงสนับสนุนให้ไปเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานเซรามิก เขาได้เรียนการตกแต่งจานเซรามิกด้วยภาพช่อดอกไม้ ด้วยความเบื่อกับงานที่ซ้ำซากและต้องการพัฒนาฝีมือตัวเอง เรอนัวร์จึงมักหาโอกาสไปศึกษาและคัดลอกผลงานของศิลปินดังในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พอเก็บเงินได้บ้างเล็กน้อยเขาจึงส่งตัวเองเข้าเรียนการเขียนภาพและกายวิภาคศาสตร์ภาคค่ำที่โรงเรียนศิลปะ Ecole des Beaux Arts
ปี 1858 โรงงานเซรามิกนำเครื่องจักรมาใช้ในกระบวนการผลิต เรอนัวร์ต้องออกไปหางานอื่นทำ เขารับจ๊อบเขียนภาพแนวศาสนาบนพัดและของตกแต่งผนังให้กับพวกมิชชันนารี ปี 1862 เรอนัวร์เข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนของ Charles Gleyre จิตรกรชาวสวิสผู้เป็นลูกศิษย์ของ Jean-Auguste-Dominque Ingres ศิลปินดังยุคก่อนหน้า และที่นี่เขาได้พบกับ Alfred Sisley, Frédéric Bazille และ Claude Monet ซึ่งต่อมาได้คบหากันเป็นเพื่อนและร่วมกันสร้างศิลปะแนวใหม่อันลือลั่นด้วยกัน
ระหว่างที่เรียนศิลปะเรอนัวร์กับเพื่อนใหม่ของเขามักจะเข้าไปในป่าที่มีทิวทัศน์สวยงามใกล้ๆปารีสเพื่อเขียนภาพกลางแจ้ง แต่เรอนัวร์มีความชอบส่วนตัวที่ต่างไปจากเพื่อนๆ เขายังชอบการทำงานในสตูดิโอ เขียนภาพเหมือนในสไตล์ของศิลปินชั้นครูยุคศตวรรษที่ 18 ที่เขาชื่นชอบอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนภาพนู้ดผู้หญิงซึ่งเขาชอบเป็นพิเศษ ปี 1865 เรอนัวร์ได้รู้จักกับ Lise Tréhot สาวสวยวัย 17 ปีซึ่งต่อมากลายเป็นทั้งคนรักและนางแบบของเขานานหลายปี เขาเริ่มมีผลงานเข้าขั้นมืออาชีพกับการเขียนภาพของเธอ Tréhot นั่งเป็นแบบให้เรอนัวร์เขียนภาพจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Diana the Huntress ที่เขาเขียนภาพเธอเป็นเทพธิดาชาวกรีก และภาพ Lise with a Parasol ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon ปี 1868
คู่หูร่วมสร้างลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์
เรอนัวร์กับ Claude Monet เป็นเพื่อนคู่หูที่แชร์ความคิดด้านศิลปะกันอยู่ตลอด และออกไปเขียนภาพกลางแจ้งด้วยกันเสมอ ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้ค้นพบว่าในเงามืดไม่ได้เป็นสีน้ำตาลหรือสีดำอย่างที่ศิลปินในอดีตเคยทำไว้ แต่เป็นสีที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม สีในตัววัตถุย่อมเปลี่ยนแปลงตามแสงที่เรามองเห็น ซึ่งสะท้อนจากสีในวัตถุอื่นๆ หรือเกิดจากการตัดกันของสีข้างเคียง ปี 1869 ทั้งสองคนใช้เวลาถึง 2 เดือนนั่งเขียนภาพท่าน้ำที่รีสอร์ต La Grenouillère เป็นภาพที่เขียนจากมุมเดียวกัน ผลงานออกมาดูแปลกใหม่และสวยงามมาก ภาพของทั้งคู่ยังคล้ายกันมากอีกด้วย และผลงานนี้เปรียบเสมือนพวกเขาได้หว่านเมล็ดพันธ์ุของลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ให้เริ่มเจริญเติบโต
ศิลปินดาวรุ่งหน้าใหม่ในยุคนั้นมีแนวคิดและสไตล์ในการเขียนภาพที่ต่างไปจากขนบเดิมที่ได้รับความนิยมมาช้านาน พวกเขามักถูกปฏิเสธไม่ได้เข้าร่วมแสดงผลงานใน Paris Salon ศิลปินกลุ่มนี้นำโดย Monet, Sisley, Pissarro, Manet และเรอนัวร์ จึงได้รวมตัวกันตั้งกลุ่ม Anonymous Society of Painters, Sculptors, and Engravers เพื่อแสดงงานศิลปะของพวกเขาได้อย่างอิสระไม่ต้องง้อ Paris Salon งานนิทรรศการของกลุ่มศิลปินใหม่นี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1874 ต่อมาพวกเขาถูกเรียกว่าศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ เรอนัวร์ส่งผลงานเข้าร่วมนิทรรศการตลอดในสามครั้งแรก แม้ว่าผลงานโดยรวมในนิทรรศการถูกวิจารณ์เชิงลบอย่างมาก แต่งานของเรอนัวร์ยังได้รับการต้อนรับค่อนข้างดี ถึงกระนั้นเขาก็ยังขายภาพไม่ค่อยได้ ในนิทรรศการอิมเพรสชั่นนิสต์ครั้งที่สามในปี 1877 หนึ่งในภาพที่เรอนัวร์ส่งเข้าร่วมแสดงคือภาพ Dance at Le Moulin de la Galette ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของเขา
เรอนัวร์หันไปรับจ้างเขียนภาพเหมือนเพื่อแก้ปัญหาด้านการเงินของตัวเอง แต่กลายเป็นว่ามันได้นำไปสู่ความสำเร็จของเขาในนิทรรศการครั้งต่อมา นิทรรศการอิมเพรสชั่นนิสต์ครั้งที่สี่เรอนัวร์ไม่ได้เข้าร่วม แต่กลับส่งผลงานไปแสดงใน Paris Salon แทน ซึ่งเขาประสบความสำเร็จอย่างมากกับภาพ Madame Charpentier and Her Children ใน Paris Salon ปี 1879 หลังจากนั้นเรอนัวร์จึงกลายเป็นศิลปินมีชื่อเสียงที่ได้รับความนิยม ผลงานที่โดดเด่นของเขาในช่วงนี้ได้แก่ภาพ Luncheon of the Boating Party และ Two Sisters (On the Terrace)
เปลี่ยนสไตล์เพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจ
ระหว่างปี 1881 – 1883 เรอนัวร์ตระเวณเดินทางไปแอลจีเรีย สเปน อิตาลี อังกฤษ รวมทั้งในฝรั่งเศสทางภาคใต้ เพื่อศึกษาผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเก่าหลายคน รวมทั้ง Raphael และ Diego Velázquez ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดและสไตล์การเขียนภาพของเขาอย่างมาก ความหลงใหลในการเขียนภาพอิมเพรสชั่นนิสม์แบบเดิมเริ่มจืดจาง ผลงานในช่วงต่อมาจึงมีความเป็นคลาสสิกมากขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์และฝีแปรงที่เป็นสไตล์ของตัวเองเอาไว้ ผลงานเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The Umbrellas และ Dance at Bougival
การเขียนภาพนู้ดผู้หญิงเป็นสิ่งที่เรอนัวร์ชื่นชอบ เขามีผลงานในแนวนี้มาโดยตลอดจนกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในงานของเขา หลังจากที่เขาได้ศึกษาผลงานของศิลปินยุคเก่าภาพเขียนในแนวนี้ของเขามีความโดดเด่นมากขึ้น ปี 1884 -1887 เรอนัวร์ใช้เวลาถึง 3 ปีสร้างผลงานภาพนู้ดผู้หญิงชิ้นเยี่ยมคือภาพ The Large Bathers ที่แม้เขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่มันก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก ผลงานเรอนัวร์ในช่วงนี้ถูกเรียกว่า Dry Period หรือ Ingres Period
ปี 1890 เรอนัวร์ในวัย 49 ปี เป็นศิลปินดังมีฐานะมั่นคงดีแล้ว จึงได้ลงหลักปักฐานแต่งงานกับ Aline Charigot ช่างตัดเสื้ออายุน้อยกว่าเขาเกือบ 20 ปีผู้เคยเป็นนางแบบให้กับเรอนัวร์ในหลายภาพ รวมทั้งภาพ Luncheon of the Boating Party และ The Large Bathers ทั้งคู่มีลูกชาย 3 คน เรอนัวร์มีการปรับเปลี่ยนสไตล์เขียนภาพอีกครั้ง โดยเพิ่มความลื่นไหลนุ่มละมุนแวววาว ผลงานในช่วงนี้เรียกกันว่า Pearly Period ภาพที่โดดเด่นมากคือภาพ Girls at the Piano
ผู้หญิงและนางแบบของศิลปินดัง
เรอนัวร์ชื่นชอบการเขียนภาพผู้หญิงดังนั้นตลอดชีวิตการเป็นจิตรกรเขาจึงมีความผูกพันกับนางแบบสาวสวยมากมาย หลายคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาเป็นพิเศษ เริ่มจาก Lise Tréhot ซึ่งคบหาเป็นคู่รักกับเขาอยู่หลายปี ถัดมาเป็น Marguerite Legrand หรือ “Margot” ผู้เป็นแบบให้ในภาพวาบหวิว Nude in the Sunlight รวมทั้งภาพดัง Dance at Le Moulin de la Galette คนนี้ก็เป็นแฟนเรอนัวร์อยู่ระยะหนึ่ง คนต่อมาคือ Jeanne Samary สาวสวยผู้นี้ปรากฏตัวอยู่ในภาพเขียนของเขามากกว่าสิบภาพ รวมทั้งภาพ Luncheon of the Boating Party
Aline Charigot นับเป็นนางแบบคนสำคัญที่สุดของเรอนัวร์เพราะนอกจากจะเป็นแบบในงานของเขาจำนวนมากแล้ว เธอยังได้แต่งงานมีลูกและอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต นางแบบคนสำคัญของเขาอีกคนคือ Suzanne Valadon เจ้าของเรือนร่างงดงามในภาพ The Large Bathers และ Dance at Bougival เรอนัวร์ยังใช้นางแบบอีกหลายคน รวมทั้ง Gabrielle Renard, Renée Jolivet และ Madeleine Bruno
นางแบบคนสุดท้ายของเรอนัวร์ Catherine Hessling หรือ “Dedée” ค่อนข้างมีความพิเศษ เธอมาเป็นแบบให้กับเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิต ว่ากันว่าเธอเป็นผู้จุดไฟอารมณ์สร้างสรรค์ของศิลปินที่กำลังมอดดับด้วยความทรมานจากโรคร้ายและความวิตกกังวลถึง Jean Renoir ลูกชายที่กำลังเป็นทหารสู้รบอยู่ในสงครามโลกให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาเธอได้แต่งงานกับ Jean และเป็นแรงบันดาลใจให้ Jean กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสในยุคนั้น เรื่องราวของ Dedée และเรอนัวร์สองพ่อลูกถูกนำไปแต่งเติมสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Renoir ออกฉายในปี 2012
โรคร้ายรุมเร้าในช่วงปั้นปลายชีวิต
ราวปี 1892 เรอนัวร์ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยามใดอาการกำเริบเขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานโดยเฉพาะช่วงอากาศหนาว ปี 1907 เขาจึงต้องย้ายไปอยู่ในเมือง Cagnes-sur-Mer ที่มีอากาศอบอุ่นทางใต้ของประเทศ โรคข้ออักเสบทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบาก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงเขียนภาพอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยให้เขาทำงานได้ แม้แต่ตอนที่อาการรุนแรงจนนิ้วมือเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ เขายังใช้ผ้าผูกแปรงติดกับนิ้วมือเขียนภาพจนได้
สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขาในปั้นปลายของชีวิตคือการได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อดูภาพเขียนของเขาเองที่แขวนเคียงคู่อยู่กับศิลปินชั้นนำคนอื่นๆ เป็นความภาคภูมิใจที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของศิลปินผู้หนึ่ง เพราะมีศิลปินเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสได้เห็นผลงานของตัวเองจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เรอนัวร์เสียชีวิตในปี 1919 ด้วยวัย 78 ปี
ผลงานในลีลาอันรื่นรมย์มีชีวิตชีวา
เรอนัวร์มีผลงานภาพเขียนหลายพันภาพ เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมมากมาย หลายภาพมีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก หลายภาพมีการซื้อขายกันในราคาสูงลิบลิ่ว และต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานที่โดดเด่นของเรอนัวร์ที่จะทำให้คุณประทับใจ
Early Works
Impressionist Period (1869 – 1883)
Ingres Period (1883 – 1890)
Pearly Period (1890 – 1897)
Later Years
ด้วยฝีแปรงที่เป็นเอกลักษณ์และลีลาการถ่ายทอดอารมณ์ในภาพออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราววิถีชีวิตที่รื่นรมย์ของคนเมืองในหลากหลายบรรยากาศ หรือภาพเหมือนบุคคลที่โดดเด่นชวนมอง รวมทั้งภาพหญิงสาวอวดรูปร่างผิวพรรณที่สวยสะดุดตาท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ทำให้ภาพของเรอนัวร์มีเสน่ห์เย้ายวนใจเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลก ผลงานของเขาจึงถูกผลิตซ้ำมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เรอนัวร์คือหนึ่งในศิลปินที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลกตลอดกาล
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, biography, spinstrangenesscharm